บทความ
ทุกอย่างที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ DPI ของบาร์โค้ด
มิ.ย.
บาร์โค้ดที่ไม่สมบูรณ์ สีจางบ้าง มีจุดบ้าง หรือแม้กระทั่งขอบไม่ชัด ย่อมก่อให้เกิดปัญหาเวลาใช้เครื่องสแกนบาร์โค้ด โดยเครื่องสแกนจะอ่านบาร์โค้ดผิดหรือไม่มีการอ่าน สาเหตุประการหนึ่งอาจจะมาจากการเลือกใช้เครื่องพิมพ์บาร์โค้ด (Barcode Printer/Label Printer) ที่มี DPI ไม่เหมาะกับบาร์โค้ดที่ต้องการ DPI จึงนับว่ามีความสำคัญมากสำหรับการพิมพ์บาร์โค้ดให้เหมาะสมกับการใช้งานกับเครื่องสแกนบาร์โค้ด
เวลาเลือกซื้อเครื่องพิมพ์บาร์โค้ด เรามักจะเห็นว่าแต่ละรุ่นมีค่า DPI ต่างกัน แล้ว DPI คืออะไร สำคัญต่อบาร์โค้ดยังไง หรือบางทีคุณอาจจะยังมีความเข้าใจเกี่ยวกับ DPI ของบาร์โค้ดผิดอยู่หรือเปล่า
ดังนั้น ในบทความนี้ เราจะอธิบายว่า DPI คืออะไรและส่งผลต่อบาร์โค้ดอย่างไร คุณจึงสามารถลงทุนซื้อเครื่องพิมพ์บาร์โค้ดได้อย่างมั่นใจมากขึ้น
สารบัญ
DPI คืออะไร
DPI (Dots Per Inch) หรือ “จุดต่อนิ้ว” คือค่าความละเอียดในการทำงานของเครื่องพิมพ์ ซึ่งก็คือจำนวนจุดของน้ำหมึกที่เครื่องพิมพ์จะพิมพ์ลงบนกระดาษต่อตารางนิ้ว เป็นหน่วยความละเอียดของภาพในการพิมพ์
เราไม่สามารถมองเห็นจุดที่พิมพ์ออกมาด้วยตาเปล่าได้ จุดที่ว่านี้จะเรียกว่าพิกเซล (Pixels) แม้ว่าจุดพิกเซลของรูปภาพและจุดที่ถูกพิมพ์นั้นจะช่วยสร้างภาพที่สมบูรณเหมือนกัน แต่ทั้งสองอย่างนี้คือคนละอย่างกัน
DPI คือคุณสมบัติของการตั้งค่าเครื่องพิมพ์ ที่จำนวนจุดน้ำหมึกจะถูกสร้างในการพิมพ์จุดพิกเซลลงบนกระดาษ DPI ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการตั้งค่าความละเอียดของรูปภาพดิจิทัลเลย
DPI กับ PPI ต่างกันนะ
ความละเอียดของภาพบาร์โค้ดจะอยู่ในรูปแบบ PPI (Pixels Per Inch) หรือ “พิกเซลต่อนิ้ว” ซึ่งเป็นค่าที่แสดงบนหน้าจอ ในขณะที่ DPI จะเป็นค่าสำหรับการพิมพ์ของเครื่องพิมพ์
DPI ยังหมายถึงคุณสมบัติของเมาส์อีกด้วยนะ แต่ในบทความนี้จะขอโฟกัส DPI สำหรับบาร์โค้ด
ความสำคัญของ DPI สำหรับบาร์โค้ด
ยิ่งค่า DPI เยอะเท่าไหร่ ภาพที่พิมพ์ออกมาจะยิ่งคมชัดมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็จะสิ้นเปลืองหมึกพิมพ์มากขึ้น ในทางกลับกัน หากค่า DPI ต่ำเท่าไหร่ ภาพที่ได้จะมีโอกาสเป็นจุดเล็ก ๆ (Grainy) มากขึ้น ภาพที่มีความละเอียดสูง ความหนาแน่นของจุดจะยิ่งมาก
หากพิมพ์รูปภาพจากอินเทอร์เน็ต แล้วพบว่าภาพที่พิมพ์ออกมาไม่เป็นอย่างที่คิด ให้ลองเช็คค่า DPI ของเครื่องพิมพ์ดูเลย
จะเห็นได้ว่า ค่า DPI ที่สูง จะช่วยให้มีคุณภาพการพิมพ์ที่ดีขึ้น แต่เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งรีบตัดสินใจซื้อเครื่องพิมพ์บาร์โค้ดเพียงเพราะมีค่า DPI สูงในทันทีนะ เพราะยังมีบางอย่างเกี่ยวกับ DPI ของบาร์โค้ดที่คุณควรรู้ เพื่อช่วยให้ได้เครื่องพิมพ์บาร์โค้ดที่ทั้งดีและเหมาะสมกับการทำงาน
เลือกสติ๊กเกอร์บาร์โค้ด (Barcode Sticker) ที่คุณสนใจ เพื่อใช้งานกับเครื่องพิมพ์บาร์โค้ด
![Barcode Sticker 5 x 2.5 cm 2000 Pea/Roll [1/Row]](https://officeaceshop.com/wp-content/uploads/2022/01/Barcode-Sticker-5-x-2.5-cm-แถวละ-1-ดวง-2000-ดวง_1-500x500.jpg)
![Barcode Sticker 5 x 2.5 cm 2000 Pea/Roll [1/Row]](https://officeaceshop.com/wp-content/uploads/2022/01/post-4-500x500.jpg)
สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ DPI ของบาร์โค้ด
บาร์โค้ด ≠ ภาพถ่าย
โดยทั่วไป บาร์โค้ดจะถูกเซฟไว้ในรูปแบบของรูปดิจิทัลเหมือน ๆ กับไฟล์รูปภาพอื่น ๆ ในคอมพิวเตอร์ เช่น ภาพถ่าย ภาพกราฟฟิก ในสกุลไฟล์ jpg, png, หรือ img แต่อย่าเพิ่งเข้าใจว่ามันเหมือนกันนะ เพราะจริง ๆ แล้ว บาร์โค้ดแตกต่างจากภาพถ่ายหรือภาพวาดดิจิทัลโดยสิ้นเชิง
ประการหนึ่งที่ทำให้บาร์โค้ดแตกต่างจากรูปภาพ หรือภาพกราฟฟิกสวย ๆ คือวัตถุประสงค์ของการผลิต บาร์โค้ดถูกออกแบบมาเพื่อเป็นภาพแทนข้อมูลที่คอมพิวเตอร์อ่านได้ เปรียบเสมือนภาษาที่คอมพิวเตอร์อ่านและเข้าใจได้
บาร์โค้ดไม่ได้ถูกสร้างมาให้มนุษย์อย่างเราเห็นแล้วเข้าใจ บาร์โค้ดถูกสร้างมาให้เครื่องสแกนบาร์โค้ด (Barcode Scanners) หรือ เครื่องอ่านบาร์โค้ดอ่าน (Barcode Readers) แล้วให้คอมพิวเตอร์รับหน้าที่ในการแปลภาษาและตีความ เปรียบได้กับการเขียนด้วยลายมือ เราจะเข้าใจข้อความตราบเท่าที่มันสามารถอ่านได้
กำลังมองหาเครื่องสแกนบาร์โค้ด (Barcode Scanners) อยู่หรือเปล่า เลือกดูรุ่นที่สนใจได้เลย
อ่านบทความ 5 เคล็ดลับในการเลือกเครื่องสแกนบาร์โค้ด (Barcode Scanner) ที่ดีที่สุด ประกอบการเลือกซื้อ
แม้บาร์โค้ดจะถูกออกแบบมาอย่างเรียบง่าย แต่ในการนำมาใช้งานนั้น บาร์โค้ดได้มอบประโยชน์ในการทำงานได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ลองอ่านบทความ บาร์โค้ด (Barcode) มีส่วนสำคัญอย่างไรในการจัดการสินค้าคงคลัง (Inventory Management)?
รูปแบบของบาร์โค้ดมีความเรียบง่าย ด้วยลักษณะเป็นเส้น หรือบล็อกสีดำบนพื้นสีขาว ในขณะที่ภาพถ่ายต้องใช้สเปกตรัมของการไล่สี (gradation) ในการระบุวัตถุในภาพ ซึ่งบางภาพจำเป็นต้องไล่สีและใช้สีจำนวนมาก จุดในภาพจึงมีความเข้มข้นสูง ยิ่งมีจุดเยอะ จะยิ่งช่วยให้ภาพนั้นทั้งคมชัด สื่อความหมาย และสวยงาม
ดังนั้น เมื่อมองถึงวัตถุประสงค์ในการผลิตที่ต่างกันระหว่างบาร์โค้ดกับภาพถ่าย การพิมพ์บาร์โค้ดจึงไม่จำเป็นต้องใช้ค่า DPI ที่สูงมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ความละเอียดของบาร์โค้ดไม่สำคัญ อันที่จริง ขนาดของบาร์โค้ดก็สำคัญต่อค่า DPI
ขนาดบาร์โค้ด
เครื่องพิมพ์บาร์โค้ดที่นิยมใช้กันทั่วไป จะมีค่า DPI 200, 300, 400 และ 600 โดยที่เครื่องพิมพ์แต่ละรุ่นให้งานพิมพ์ที่มีความหนาแน่นของจุดแตกต่างกันไป
เครื่องพิมพ์บาร์โค้ด 200 DPI เหมาะสำหรับการพิมพ์บาร์โค้ดที่มีความหนาแน่นต่ำ แม้ว่าจะมีค่า DPI ต่ำ แต่ยังคงให้งานพิมพ์ที่คมชัด และใช้กับเครื่องสแกนได้ตามปกติ เครื่องพิมพ์บาร์โค้ด 300 DPI เป็นตัวเลือกที่เหมาะมากกว่าสำหรับบาร์โค้ดที่มีความหนาแน่นระดับปานกลางไปจนถึงสูง ส่วนบาร์โค้ดที่มีความหนาแน่นสูงเป็นพิเศษ จะต้องใช้กับเครื่องพิมพ์ ที่มี DPI อย่างน้อย 600
โดยทั่วไปแล้ว การพิมพ์บาร์โค้ดที่มีความหนาแน่นที่ต่ำจะเหมาะสำหรับการพิมพ์บาร์โค้ดขนาดใหญ่ ในขณะที่ความหนาแน่นที่สูงขึ้นจะเหมาะกับบาร์โค้ดขนาดเล็กลงไป อย่างบาร์โค้ด 2D ซึ่งขอบที่คมชัด เป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันการอ่านผิด ทั้งนี้ ขนาดของบาร์โค้ดยังขึ้นอยู่กับประเภทของบาร์โค้ดที่ต้องการอีกด้วย
บาร์โค้ดที่มีความหนาแน่นต่ำสามารถพิมพ์ได้ ด้วยเครื่องพิมพ์สำหรับบาร์โค้ดความหนาแน่นสูง จึงไม่จำเป็นต้องมีเครื่องพิมพ์แยกต่างหาก
บาร์โค้ดความหนาแน่นต่ำที่พิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ DPI สูง จะช่วยลดโอกาสที่เครื่องสแกนจะอ่านบาร์โค้ดผิด หรือไม่อ่านได้
ลงทุนซื้อเครื่องพิมพ์บาร์โค้ดที่มี DPI สูงดีไหม
จากที่ได้กล่าวไปแล้วก่อนหน้านี้ ถึงความสำคัญของ DPI ในการพิมพ์บาร์โค้ด เครื่องพิมพ์บาร์โค้ด DPI สูงอาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการลงทุนเสมอไป คุณอาจต้องใช้เครื่องพิมพ์บาร์โค้ดความละเอียดสูง หากอยู่ในสถานการณ์ต่อไปนี้
1. ความต้องการจากภายนอก
อุตสาหกรรมบางประเภทมีการกำหนด DPI ไว้สำหรับบาร์โค้ด เช่น อุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพ ที่มีกฎระเบียบกำหนดให้ DPI บาร์โค้ดต่ำ เพื่อการใช้งานกับตัวอย่าง (Samples) หรือเอกสารที่สำคัญโดยเฉพาะ
เมื่อมีการเก็บตัวอย่างของผู้ป่วยไปทดสอบ แน่นอนว่าผู้ป่วยจะรอฟังผลการวินิจฉัย ซึ่งผลการวินิจฉัยจะได้จากตัวอย่างที่เก็บมา ด้วยเหตุนี้ จึงมีการกำหนดมาตรฐานนี้ไว้สำหรับพิมพ์บาร์โค้ดไว้ใช้ในการทำงานลักษณะนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาความรับผิดที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงความล่าช้า และความพยายามในการรักษาชีวิตจะไม่สูญเปล่า
เป็นที่น่าสังเกตว่า บาร์โค้ดขนาดเล็กมากนิยมใช้กันแพร่หลายในอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพ ดังนั้นกฎระเบียบนี้จึงสอดคล้องกับการปฏิบัติในการทำงาน
2. บาร์โค้ดเล็กเกินไป
จากที่ได้กล่าวไปว่า การพิมพ์บาร์โค้ดขนาดเล็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบาร์โค้ด 2D ที่มีขนาดเล็กมากด้วยการพิมพ์แบบความละเอียดสูง จะทำให้ได้บาร์โค้ดที่ดีที่สุดสำหรับใช้งานกับเครื่องสแกน
บาร์โค้ดที่มีขอบชัดเจน ช่วยให้การสแกนบาร์โค้ดเป็นไปอย่างราบลื่น ขอบชัดที่ว่านี้จะไม่สามารถทำได้หากไม่มีเครื่องพิมพ์บาร์โค้ด DPI สูง หากมีช่องว่างระหว่างจุดมากเกินไป เครื่องสแกนบาร์โค้ดจะอ่านบาร์โค้ดที่มีขนาดเล็กมาก ๆ ผิดหรือไม่สามารถอ่านบาร์โค้ดที่เล็ก ๆ ได้
3. ความต้องการที่มากขึ้นในอนาคต
หากคุณกำลังวางแผนหรือคิดว่าในอนาคต คุณอาจต้องใช้บาร์โค้ดหลากหลายประเภทและขนาดในการทำงาน การลงทุนซื้อเครื่องพิมพ์บาร์โค้ด DPI สูง ๆ ไว้นับว่าคุ้มค่า ทั้งนี้ เพื่อให้ได้งานพิมพ์บาร์โค้ดที่ตอบโจทย์การทำงานของคุณในระยะยาว อีกทั้งยังไม่ต้องซื้อเครื่องพิมพ์แยกด้วย
หากคุณไม่มั่นใจว่ามันจำเป็นขนาดนั้นไหม แต่มีงบประมาณเพียงพอที่จะลงทุน แนะนำให้ลงทุนซื้อเครื่องพิมพ์บาร์โค้ดที่มีคุณสมบัติสูงไปเลย เพื่อให้เป็นการลงทุนที่คุ้มต่อการใช้บาร์โค้ดที่อาจจะเปลี่ยนไปในอนาคต
เนื่องจากความแตกต่างในการลงทุนมักจะไม่มีนัยสำคัญ การอัปเกรดเครื่องพิมพ์บาร์โค้ดจาก 200 DPI เป็น 300 DPI หรือ 300 DPI เป็น 600 DPI จึงมักจะทำได้ การอัปเกรดค่าความละเอียดในบางครั้ง อาจจะต้องจ่ายเงินเพิ่มอีกเป็นหมื่นกันเลยทีเดียว
บทสรุป
แม้ว่าจะเป็นความจริงที่ DPI สูงเท่าไหร่ก็ยิ่งดี แต่หากคุณเล็งเห็นว่าเครื่องพิมพ์บาร์โค้ด 300 DPI เพียงพอสำหรับความต้องการการใช้บาร์โค้ดของคุณแล้ว เครื่องพิมพ์บาร์โค้ดที่มีคุณสมบัติสูงกว่านี้คงไม่จำเป็น ในทางกลับกัน คุณเลือกที่จะประหยัดเงินแต่กลายเป็นเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ เพราะได้เครื่องพิมพ์ที่ไม่สามารถให้ความละเอียดที่คุณต้องการได้
หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณได้เข้าใจถึงความสำคัญของ DPI บาร์โค้ดได้ดีขึ้น เพื่อให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุดจากการซื้อเครื่องพิมพ์บาร์โค้ด
เลือกดูริบบอน (Ribbon) ที่เหมาะกับงานพิมพ์ของคุณ
